Let Me In : แวมไพร์ ร้าย...เดียงสา
| ชื่ออังกฤษ | Let Me In | |||
| ชื่อไทย | แวมไพร์ ร้าย...เดียงสา | |||
| ประเภทหนัง | Drama, Fantasy, Thriller | |||
| ผู้กำกับ | Matt Reeves | |||
| ผู้แต่ง | - | |||
| วันที่เข้าฉาย | 25 November 2010 | |||
| ความยาวหนัง | - | |||
| นักแสดง | Kodi Smit-McPhee, Chloe Moretz, Richard Jenkins | |||
| เรทภาพยนตร์ - ไทย (ดูรายละเอียด) | - | |||
| เรทภาพยนตร์ - สากล | R (restricted) | |||
| สถานที่ถ่ายทำ | - | |||
| ภาษา | - | |||
| เว็บไซต์ | - |
แวมไพร์ ร้าย...เดียงสา | เรื่องย่อ
โคลอี เกรซ โมเรตซ์ (ฮิตเกิร์ล ใน Kick-Ass) รับบท แอ็บบี เด็กสาวลึกลับวัย 12 ปี ซึ่งย้ายมาอยู่ข้างๆ ห้องของ โอเวน (โคดี สมิต-แม็คฟี จาก The Road) เด็กหนุ่มที่ถูกแกล้งในโรงเรียนเป็นประจำจนมีปัญหาการเข้าสังคม ด้วยความเหงา เขาจึงผูกสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านคนใหม่ และเริ่มสังเกตเห็นว่าแอ็บบี ไม่เหมือนใครๆ ที่เคยรู้จัก ในขณะที่ฆาตกรรมต่อเนื่องกำลังคุกคามเมืองนิวเม็กซิโกอันหนาวเหน็บ โอเวน ก็ต้องเผชิญความจริงที่ว่า สาวน้อยที่เหมือนไร้เดียงสาแท้ที่จริงคือแวมไพร์กระหายเลือด
เมื่อหนังแวมไพร์สุดเจ๋งจากสวีเดน ถูกฮอลลีวู้ดนำมาสานต่อความยอดเยี่ยม
แม้จะอยู่ในยุคที่วัฒนธรรมป๊อปเกลื่อนกลาดไปด้วยอมตชนกระหายเลือด Let Me In ก็ยังโดดเด่นด้วยความแตกต่างจากหนังแวมไพร์อื่นๆ นอกจากจะบอกเล่าเรื่องราวของการก้าวพ้นความไร้เดียงสาอย่างคมคาย รวมทั้งเป็นหนังสยองขวัญที่น่ากลัวจับใจ มันยังถ่ายทอดความยากและบ่อยครั้งต้องเจ็บปวดในระหว่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
Let Me In อ้างอิงจากนวนิยายขายดีของนักเขียนสวีเดน ยอห์น อายวิด ลิงด์ควีสต์ เรื่อง Låt den Rätte Komma In (หรือ Let the Right One In) และหนังสวีเดนในชื่อเดียวกันกับต้นฉบับซึ่งเป็นที่ชื่นชนยกย่องอย่างสูง รวมถึงได้รับรางวัล Founders Award สาขา Best Narrative Feature จากงาน Tribeca Film Festival ประจำปี 2008 โดยความสำเร็จท่วมท้นครั้งนั้นดึงดูดความสนใจของทั้ง Hammer Films และ Overture Films
ไซมอน โอคส์ รองประธาน Exclusive Media Group รวมถึงรั้งตำแหน่งประธานและผู้บริหาร Hammer Films กล่าวว่าทางบริษัทสนใจหนังต้นฉบับซึ่งเป็นเรื่องของแวมไพร์ที่แปลกไม่ซ้ำใครในทันที นวนิยายจากปลายปากกาของลิงด์ควีสต์เข้ามาอยู่ในสายตาของ Hammer ครั้งแรกเมื่อปี 2007 จากนั้นจึงตามมาด้วยหนังสวีเดนที่สร้างขึ้นจากนวนิยาย “เราตามติดมันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” โอคส์เล่า “เรื่องราวสมควรได้รับการเผยแพร่ต่อกลุ่มผู้ชมที่กว้างขึ้น ถึงแม้ว่าต้องขับเคี่ยวแย่งชิงอย่างยากลำบากกว่าจะได้มันมา แต่เราก็ใช้วิธีพัฒนาความสัมพันธ์กับทีมผู้คุมงานสร้าง ผลสุดท้าย เราเลยรักษาลิขสิทธิ์ไว้ได้” จากผู้กำกับมือฉมัง แม็ตต์ รีฟส์
กระทั่งลิขสิทธิ์มาอยู่ในมือของ Hammer รีฟส์ก็ ยิ่งอยากเข้าร่วมในโปรเจกต์ “ผมว่าต้องน่าตื่นเต้นมากทีเดียว ถ้าเรามีหนังแนวนี้แบบที่สร้างขึ้นโดย Hammer อุทิศประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดให้มัน” เขาเผย “ผมรู้แค่ว่าต้องหาทางเชื่อมต่อกับหนังเรื่องนี้ให้ได้ คนที่ Overture เองก็ชอบโปรเจกต์นี้มากและอยากทำกันทุกคน ที่สุดแล้วเลยลงเอยว่าจะร่วมกันสร้างกับ Hammer”
ปรับเปลี่ยนเรื่องด้วยความเคารพต้นฉบับ
Let the Right One In มีฐานแฟนในระดับนานาชาติคลั่งไคล้เหนียวแน่นอยู่แล้ว ในขณะที่รีฟส์ก็แสดงความเคารพต่อต้นฉบับไม่น้อย ถึงแม้ Let Me In จะเปลี่ยนถ่ายเหตุการณ์ทั้งหมดมาไว้ในเมืองเล็กๆ ในเขตหุบเขาของนิวเม็กซิโก แต่ยังคงซื่อตรงต่อการกระทำต่างๆ ที่มีอยู่ในนวนิยายและหนังต้นฉบับ “ครั้งหนึ่ง มีคนเสนอว่าจะขยับอายุของเด็กๆ ขึ้นมาอีกหน่อยไหม จะได้ไม่ขัดใจผู้ชมอเมริกัน” รีฟส์เล่า “แต่นั่นจะทำให้เรื่องราวเสียหาย เพราะช่วงชีวิตถูกกำหนดเฉพาะเจาะจงมาแล้ว ว่าด้วยชีวิตยากๆ ของเด็กชายวัย 12 คนหนึ่งที่ถูกรังแกแบบไม่ปรานีและไม่มีเพื่อนเลยสักคน กล่าวถึงความไร้เดียงสาและการค้นพบว่าแสงสว่างกับความมืดนั้นเป็นของคู่กัน”
รีฟส์ เล่าต่อ “ผมกังวลมากในการเปลี่ยนถ่ายเรื่องราวจากสวีเดนทศวรรษที่ 1980 มาเป็นทศวรรษที่ 1980 ของอเมริกา ซึ่งเรแกนเรืองอำนาจ สงครามเย็นยังดุเดือด เป็นช่วงที่เรแกนกล่าวสุนทรพจน์ ‘จักรวรรดิปิศาจ’ ท่านประธานาธิบดีบอกคนทั้งประเทศว่าปิศาจคืออะไรก็ตามที่มีชีวิตอยู่คนละ ฝ่ายกับเรา ‘โซเวียตคือปิศาจ แต่เราชาวอเมริกัน โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนดี’ ถึงตรงนี้ผมฉุกคิดทันทีว่าถ้าเด็กอายุ 12 อย่างโอเวน ซึ่งเก็บกดความรู้สึกด้านลบไว้ข้างในมากมาย ต้องเติบโตในบริบทสังคมแบบนี้จะเป็นยังไง ชีวิตคงสับสนน่าดูเลย” เฟ้นหาสองนักแสดงนำที่ต้อง ใช่!
ในส่วนของการสะท้อนอารมณ์ซึ่งตกเป็นบทหนักที่ตัวเอกวัยก่อนรุ่นทั้งสองจะ ต้องแบกไว้บนบ่าน้อยๆ ทีมผู้สร้างตระหนักดีว่าส่วนผสมทางเคมีอันลงตัวระหว่างแอ็บบี และ โอเวน เป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากนี้ การหานักแสดงให้ได้อายุเหมาะสมและฝีมือไม่เป็นรองต้นฉบับ ยังนับว่าท้าทายอย่างยิ่ง
การเฟ้นหานักแสดงหลักๆ ดำเนินไปในสามทวีป กล่าวคือ ทีมผู้สร้างไปพบปะนักแสดงเด็กมากมายทั้งในนิวยอร์ก ลอสแองเจลิส ลอนดอน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยใช้เวลาทั้งสิ้นกว่า 8 เดือน เด็กวัย 13 โคดี สมิต-แม็คฟี เข้ามาทดสอบบท ผู้กำกับก็รู้ทันทีว่าพบนักแสดงที่ใช่แล้ว “โคดีเดินเข้ามาและอ่านบทในมือ” รีฟส์ บอก “เขาแสดงได้สมจริงและสมบูรณ์อย่างยิ่ง ผมเชื่อว่าพบคนที่ตามหาแล้วตั้งแต่ก่อนที่เขาจะอ่านบทจบเสียอีก และยังเป็นครั้งแรกที่ผมเชื่อมั่นว่าเราสามารถสร้างและควรสร้างหนังเรื่อง นี้ได้แล้ว เขาน่าทึ่งมาก”
ถึงแม้จะอายุแค่ 12 ปี แต่ โคลอี เกรซ โมเรตซ์ ก็ปรากฏตัวในหนังประวัติดีมาแล้วหลายเรื่อง อาทิ (500) Days of Summer และ Kick-Ass ในขณะที่รีฟส์ไม่เคยดูผลงานของเธอเลยก่อนจะเลือกมาเป็นนักแสดง
“ผมรู้แค่ว่าเธอมีคุณสมบัติน่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อ” เขาเล่า “โคลอีลุยได้อย่างที่เคยเห็นๆ กันใน Kick-Ass แต่ก็ดูบอบบางในคราวเดียวกัน นั่นคือส่วนผสมของชีวิตที่ดูเป็นมนุษย์มากๆ นอกจากนี้ยังฉายชัดความปรารถนาที่จะอยู่รอด”
“แอ็บบีอายุ 12 ก็จริง แต่อายุ 12 มานานน่าจะประมาณ 250 ปีแล้ว” รีฟส์อยากให้รู้ “เธอไม่ใช่หญิงชราอายุ 250 ปีในร่างเด็ก 12 แต่ภายในของแอ็บบีก็ยัง 12 ด้วย เธอมีความไร้เดียงสาเหมือนเด็กสาวธรรมดา มีด้านที่ดิบเถื่อนซึ่งหยุดยั้งไม่ได้ เป็นสถานการณ์ที่เข้าถึงยากมากๆ” เลือดและหิมะ หลังฉาก Let Me In
ในส่วนของการตามหาฉากหลังที่ควรค่าแก่การจดจำ ซึ่งต้องให้บรรยากาศแบบทศวรรษที่ 1980 แท้ๆ มีหิมะปกคลุมขาวโพลน ภูมิทัศน์โดยรอบดูวังเวง เดิมทีนั้น แม็ตต์ รีฟส์ วางแผนจะตั้งกองถ่าย Let Me In ในโคโลราโด เมืองที่มีประชากรราว 18,000 คน ลอส อลามอส ซึ่งอยู่ห่างจากทางเหนือของอัลเบอเคอร์กี 100 ไมล์ เป็นที่ตั้งของ Los Alamos National Laboratory ที่รู้จักกันทั่วโลก เมืองนี้ดูเหมือนเล็กและไม่มีอะไร แต่ความจริงนั้น ก่อตั้งเมืองขึ้นมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อเป็นชุมชนลับสุดยอดที่คอยเลี้ยงดูปูเสื่อคนงานที่มาร่วมกันสร้าง นิวเคลียร์ลูกแรกใน ‘โครงการแมนฮัตตัน’
เสียงดนตรีใน Let Me In มีวัตถุประสงค์อยู่สองอย่าง จากคำกล่าวของรีฟส์ ดนตรีประกอบซึ่งไว้วางใจให้เป็นหน้าที่ของนักประพันธ์เพลงมือรางวัล ไมเคิล จักกีโน จะต้องมอบน้ำหนักให้อารมณ์อันแผ่วเบาในหนัง ส่วนเพลงประกอบที่เขาช่วยกันเลือกกับผู้ให้คำปรึกษาทางด้านดนตรีคนดัง จอร์จ ดราโกอูเลียส จะต้องมอบชีวิตให้ทศวรรษที่ 1980 ซึ่งเป็นฉากหลังของเรื่อง
ก่อนนี้ จักกีโนคว้าออสการ์มาได้จากการประพันธ์ดนตรีให้หนังเรื่องเยี่ยมของพิกซาร์คือ Up พร้อมทั้งได้รับรางวัลเอ็มมีจากผลงานในซีรี่ส์เรื่องดังทางจอแก้วคือ “Lost” ที่สำคัญ เขาเคยจัดหาเพลงหนึ่งให้หนังเรื่องก่อนของรีฟส์ คือ Cloverfield ใช้เป็นเพลงปิดท้ายในช่วงรายนามคนเบื้องหลัง แต่ครั้งนี้ รีฟส์ขอให้ประพันธ์ดนตรีประกอบทั้งเรื่อง ซึ่งผู้กำกับคาดหวังว่าดนตรีที่พลิ้วไหวอยู่เบื้องหลังจะสอดคล้องกับลักษณะ เรื่องราว ซึ่งเปลี่ยนแปรกลับไปกลับมาระหว่างเปลี่ยวเหงาและน่าหวาดกลัวกับอ่อนโยนและ เปี่ยมด้วยอารมณ์รักนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น